วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เปลือกข้าวและจมูกข้าว




ส่วน ของเปลือกข้าวและจมูกข้าวที่นำมาสกัดเป็นน้ำมันรำดิบนั้น นอกจากมีสารที่เป็นยา เพราะมีวิตมินให้คุณค่าต่อร่างกายสูงแล้ว ยังสามารถนำไปเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางและอาหารได้ สำหรับสารอาหารในน้ำมันรำดิบนั้น มีหลายตัว ได้แก่
1. แกรมมา โอริซานอล ซึ่งพบในจมูกข้าวและรำ มีสรรพคุณกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและดูดซึมได้ดีทางผิวหนัง ซึ่งใช้เป็นส่วนผสมทาผิวหนัง นอกจากนี้มีฤทธิ์ลอคอเลสเทอรอล ต้านการอุดตันของหลอดเลือด เป็นสารต้านอนุมูลอิสระป้องกันแสงยูวี ทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น มีความปลอดภัยสูง
2. แกรมา อะมิโนบูไทริค สรรพคุณช่วยลดความดันโลหิต ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ ในกระแสเลือด และอาจจะช่วยลดความอ้วน ช่วยกระตุ้นระบบการทำงานของไตดีขึ้น กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เพิ่มออกซิเจนไปยังสมองทำให้การทำงานของเซล์สมองดีขึ้น ทั้งยังลดอาการเครียดทำให้หลับสบาย โดยเฉพาะในหญิงวัยหมดประจำเดือน และช่วยแก้อาการเมาค้างได้ รวมถึงใส่ในอาหารเพื่อดับกลิ่น
3. โอริซา เซราไนต์ ใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง เช่นทาผิวหน้า ช่วยให้ผิวหนังแข็งแรงมีความสมดุลไม่เหี่ยวย่นหรือแห้ง

ความเห็นเพิ่มเติม
ซึ่งขณะนี้มีผู้ผลิตยาของญี่ปุ่นนำรำข้าวเจ้าของไทยไปสกัดเป็นยาและจำหน่าย ไปทั่วโลก เพิ่งเปิดตัวผลิตภัณฑ์ไปเมื่อไม่นานนี้เอง ขณะที่เมืองไทยมีโรงงานกลั่นน้ำมันรำข้าวใหญ่ที่สุดในโลก แต่กลับนำผลผลิตไปใช้ผสมในอาหารสัตว์

Rice

From Wikipedia, the free encyclopedia

Rice is the seed of a monocot plant Oryza sativa. As a cereal grain, it is the most important staple food for a large part of the world's human population, especially in East, South, Southeast Asia, the Middle East, Latin America, and the West Indies. It is the grain with the second highest worldwide production, after maize ("corn").[1]

Since a large portion of maize crops are grown for purposes other than human consumption, rice is probably the most important grain with regards to human nutrition and caloric intake, providing more than one fifth of the calories consumed worldwide by the human species.[2]

A traditional food plant in Africa, rice has the potential to improve nutrition, boost food security, foster rural development and support sustainable landcare.[3]

Rice is normally grown as an annual plant, although in tropical areas it can survive as a perennial and can produce a ratoon crop for up to 20 years.[4] The rice plant can grow to 1–1.8 m tall, occasionally more depending on the variety and soil fertility. The grass has long, slender leaves 50–100 cm long and 2–2.5 cm broad. The small wind-pollinated flowers are produced in a branched arching to pendulous inflorescence 30–50 cm long. The edible seed is a grain (caryopsis) 5–12 mm long and 2–3 mm thick.

Rice cultivation is well-suited to countries and regions with low labor costs and high rainfall, as it is very labor-intensive to cultivate and requires plenty of water for cultivation. Rice can be grown practically anywhere, even on a steep hill or mountain. Although its parent species are native to South Asia and certain parts of Africa, centuries of trade and exportation have made it commonplace in many cultures worldwide.

The traditional method for cultivating rice is flooding the fields while, or after, setting the young seedlings. This simple method requires sound planning and servicing of the water damming and channeling, but reduces the growth of less robust weed and pest plants that have no submerged growth state, and deters vermin. While with rice growing and cultivation the flooding is not mandatory, all other methods of irrigation require higher effort in weed and pest control during growth periods and a different approach for fertilizing the soil.

(The name wild rice is usually used for species of the grass genus Zizania, both wild and domesticated, although the term may also be used for primitive or uncultivated varieties of Oryza.)

Oryza



From Wikipedia, the free encyclopedia

Oryza is a genus of seven to twenty species of grasses in the tribe Oryzeae, within the subfamily Bambusoideae, native to tropical and subtropical regions of Asia and Africa. They are tall wetland grasses, growing to 1–2 m tall; the genus includes both annual and perennial species.

Oryza is situated within the tribe Oryzeae, which is characterized morphologically by its single flowered spikelets whose glumes are almost completely suppressed. In Oryza, two sterile lemma simulate glumes. The tribe Oryzeae is within the subfamily Bambusoideae, a group of Poaceae tribes with certain features of internal leaf anatomy in common. The most distinctive leaf character of this subfamily is their arm cells and fusoid cells found in their leafs. The Bambusoideae are in the family Poaceae, as they all have fibrous root systems, cylindrical stems, sheathing leaves with parallel veined blades, and inflorescences with spikelets.[1]

While USDA plants lists only 7 species, others have identified up to 17, including sativa, barthii, glaberrima, meridionalis, nivara, rufipogon, punctata, latifolia, alta, grandiglumis, eichingeri, officinalis, rhisomatis, minuta, australiensis, granulata, meyeriana, and brachyantha. One species, Rice (O. sativa), provides twenty percent of global grain and is a food crop of major global importance. The many species mentioned above are divided into two subgroups within the genus

Selected species
Oryza barthii
Oryza glaberrima - rice
Oryza latifolia
Oryza longistaminata
Oryza punctata
Oryza rufipogon - rice
Oryza sativa - rice
Oryza nivara (Indian wild rice)



A new study conducted by a team of scientists from Cornell University in the US and International Rice Research Institute (IRRI) in the Philippines, has concluded that Basmati rice does not fall under Indica subgroup of rice varieties grown in southern Asia but to the Japonica subgroup, grown mostly in Japan.

More important, they claim to have shown for the first time that fragrance in rice originated within the Japonica group and the trait was then transferred to Indica rice by a natural process called 'introgression'.

Their results that challenge the traditional assumption that the fragrance trait arose in the Indica group have been published in the latest issue of the Proceedings of the National Academy of Sciences of the US.

Cultivated rice plant (Oryza sativa) consists of two subspecies, Japonica and Indica. Japonica rice is round and sticky when cooked, while Indica rice has long grains that get fluffy on cooking.


สารอาหารในน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว

บทความจาก Amata Oryza
อมตะ ออไรซา มหัศจรย์แห่ง "น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว" จากผลงานค้นคว้าวิจัยจาก พญ.สมฤดี เอื้อสุดกิจ เป็นน้ำมันที่ได้จากกระบวนการพิเศษในการสกัดเอาสารสำคัญที่มีประโยชน์นานาชนิด ซึ่งมีอยู่ในเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว(Seed Membrane Layer) และจมูกข้าว(Rice Germ) จึงอุดมด้วยสารสำคัญทางธรรมชาติมากถึง 6 กลุ่มใหญ่ ซึ่งมีคุณค่าสูงต่อร่างกาย ช่วยให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

คุณประโยชน์

น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวชนิดแคปซูล สกัดจากส่วนที่เป็นจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว จากข้าวหอมมะลิสายพันธุ์ Oryza Glaberrima อุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรงสามารถต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บได้ ประกอบด้วยสารที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อร่างกาย

1. มีสาร Gamma-Orzanol ช่วยลดระดับไขมันคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ทำให้อวัยวะสำคัญต่างๆ เช่น ตับ ไต หัวใจ สมอง ตับอ่อน และอื่นๆ มีเลือดไปเลี้ยงมากขึ้น และที่เสื่อมสภาพก็กลับฟื้นตัวและทำงานได้อีกครั้งหนึ่ง ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ, โรคตับ, โรคไต,โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูง โรคภูมิแพ้ โรคความจำเสื่อม และ มีสารยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลมะเร็ง
2. ช่วยลดระดับของ แอล ดี แอล (LDL) คอเลสเตอรอล ซึ่งก่อให้เกิดโทษต่อร่างกาย
3. ช่วยเพิ่มระดับของ เอช ดี แอล (HDL) คอเลสเตอรอล ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย
4. ช่วยลดระดับไขมันไตรกรีเซอไรด์ (Triglyceride) ในเส้นเลือด
5. ลดไขมันที่สะสมอยู่ในส่วนต่างๆ ของร่างกายทำให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดีขึ้น ทำให้ไม่อ้วน
6. มีผลให้ความดันโลหิตลดลงและช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือดยับยั้งโรคเบาหวานได้ผลดี
7. มีกรดไขมันไลโนเลนิค (Linolenic acid) หรือโอเมก้า 3 ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันภาวะเสื่อมของสมอง อันเป็นสาเหตุของโรคความจำเสื่อม โรค อัลไซเมอร์ โรคอัมพฤต
8. มีกรดไขมันไลโนเลอิค (Linoleic acid) หรือโอเมก้า 6 ช่วยให้ผิวหนังสดใสมีน้ำมีนวล และช่วยระบบสืบพันธุ์ให้ทำงานเป็นปกติ ทำให้ประจำเดือนมาปกติ
9. ช่วยบำบัดอาการผิดปกติของชาย-หญิง วัยเจริญพันธุ์ (ให้ผลดีในการรักษาผู้มีบุตรยาก) และสตรีวัยทอง
10. มีวิตามินอีในรูปของโทโคเฟอรอล (Tocopherol) และโทโคไทรอีนอล (Tocotrienol) ซึ่งจะช่วยยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระ ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ สำหรับโรคภูมิแพ้จะบำบัดได้ผลดีมาก
11. มีสารเซราไมด์ (Ceramide) ช่วยบำรุงผิวพรรณให้นุ่มนวลอ่อนเยาว์ ลบเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่น ด่างดำ ฝ้าและกระ ค่อยๆจางลง
12. ลดภาวะท้องผูก ช่วยลดภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคริดสีดวงทวารและมะเร็งลำไส้ใหญ่
13. มีสารเมลาโทนีน (Melatonin) ช่วยให้นอนหลับสบาย ช่วยลดอาการเครียด
14. สารอาหารต่าง ๆ
- a. มีวิตะมินเอ ( บำรุงสายตา ) , บีรวม ( บำรุงเส้นประสาทฝอยต่างๆ –รักษาปากเปื่อย ปากนกกระจอก ร้อนใน) , เบต้าแคโรทีน ( บำรุงสายตาและสมอง ) – ประโยชน์โดยภาพรวม ก็คือ ช่วยให้การทำงานของระบบประสาทดีขึ้น
- b. สารไฟโตสเตอรอล ช่วยอย่างมากในเรื่องการลดแคเรสเตอรอลและไตรกรีเซอไรด์ ,ลดอาการอักเสบ,ลดอาการบวม และช่วยสลายลิ่มเลือด ช่วยได้มากในผู้ที่ไขข้ออักเสบ เก๊าท์
- c. มีแคลเซี่ยม ( บำรุงกระดูก ) , เหล็ก ( บำรุงเลือด ) , เซเลเนียม ( บำรุงสมอง ), สังกะสี (ป้องกันมะเร็ง ) , แมงกานีส และโครเมียม
- d. มีโปรตีน ( เป็นโปรตีนจากพืช เพราะข้าวคือพืชนั่นเอง )
ใน 1 แคปซูลท่านจะได้สารอาหารเหล่านี้ครบถ้วน


การรับรองมาตรฐาน

น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวชนิดแคปซูล อมตะ ออไรซา เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้การรับรองมาตรฐานการผลิตระดับสากล GAP, GMP และ ISO 9000 นอกจากนี้ยังได้ขึ้นทะเบียนรับรองจากองค์การอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข (อย.) เลขที่อย.11-1-32732-1-0082 และได้ใบสำคัญต่างๆ อาทิ ใบรับรองฮาลาล, หนังสือรับรองจากศูนย์วิจัยมะเร็งแห่งชาติ, ใบจดทะเบียนธุรกิจการค้า, ใบสิทธิบัตรปัญญาประดิษฐ์

ปริมาณ

น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวชนิดแคปซูล อมตะ ออไรซา 1 ขวด มี 60 แคปซูล

ส่วนประกอบสำคัญ

ใน 1 แคปซูลประกอบด้วยน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว 500 มก. ซึ่งให้
- กรดโอเลอิก 205 มก.
- กรดไลโนเลอิก 170 มก.
- แกมมาออริซานอล 7.7 มก.
- วิตามินอี 0.68 มก. ในรูปโทโคฟีรอลและโทโคไทอีนอล


ขั้นตอนการบริโภค

แข็งแรงและป้องกัน (Maintain & Prevent)
: 2 แคปซูล/วัน
เจ็บไข้ ป่วย ฟื้นฟู (Therapeutic)
: 4-6 แคปซูล/วัน
เนื้องอก มะเร็ง (Tumor, Cancer)
: 6 แคปซูล/วัน

สนใจเป็นสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าในราคาพิเศษ แถมมีธุรกิจเป็นของตัวเองสนในติดต่อ เกียรติศักดิ์ โทร 0804413343 คลิกด้านล่าง

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ข้าวกล้อง....อาหารอายุวัฒนะ




ข้าวเป็นอาหารหลักของชาวโลกมานานนับพันปี พลเมืองทั่วโลกรับประทานข้าวเป็นอาหารหลัก เพราะข้าวมีสารอาหารครบถ้วนบริบูรณ์ ทั้งคาร์โบไฮเดรต ซึ่งมีแป้งในปริมาณที่สูงมาก จึงเป็นแหล่งให้พลังงานที่ดีที่สุด นอกจากนั้น ข้าวยังมีสารอาหารอื่นๆ เช่น โปรตีน ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีกรดอะมิโนหลายชนิด มีไขมันชนิดไม่อิ่มตัว มีวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินบีรวมจะมีมากเป็นพิเศษ มีแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับร่างกาย เช่น แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส ไนอาซีน ซีลีเนี่ยม แม็กนีเซี่ยม โครเมี่ยม เป็นต้น จากการศึกษาค้นคว้าในห้องปฎิบัติการของนักวิทยาศาสตร์และการแพทย์ พบสารอาหารเพิ่มเติมในข้าวอีกหลายชนิด เช่น สารแกมม่าออไรซานอล โอเมก้า 3 โอเมก้า 6 และอื่นๆ อีกหลายชนิด

แต่ข้าวที่มีสารอาหารดังกล่าวอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ ต้องเป็นข้าวกล้องที่มีจมูกข้าวและรำข้าวติดอยู่รอบเมล็ดในปริมาณที่มากเท่านั้น ข้าวที่ขัดสีจนขาวสะอาดไม่มีจมูกข้าวและรำข้าวติดอยู่ จะไม่มีสารอาหารดังกล่าว จะเหลืออยู่แต่แป้งเท่านั้น

ข้าวที่ควรรับประทาน คือ ข้าวกล้องที่มีจมูกข้าวและรำข้าวติดอยู่รอบเมล็ดในปริมาณที่มาก จึงจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ดี ส่วนข้าวขัดขาว ไม่ควรรับประทาน เพราะให้แค่พลังงานที่มาจากแป้งและน้ำตาล หากรับประทานต่อเนื่องกันนานๆ จะก่อให้เกิดโรคเบาหวาน โรคความดัน โรคเส้นเลือดตีบตัน โรคหัวใจ โรคสมองเสื่อม โรคอัมพฤกษ์ เป็นต้น

ลักษณะข้าวกล้องที่ควรซื้อ
ข้าวกล้อง คือข้าวที่สีเพียงครั้งเดียว โดยการกะเทาะเปลือกนอกออกเท่านั้น จะไม่มีการขัดสีเอาเส้นใยที่อยู่รอบๆ เมล็ดข้าวออกอย่างเด็ดขาด ดังนั้น การเลือกซื้อข้าวกล้อง จึงควรสังเกตุ ดังนี้

1. เมล็ดข้าวต้องสมบูรณ์ ไม่มีรอยแหว่งตรงปลายเมล็ดข้าว เพราะถ้ามีรอยแหว่ง แสดงว่า จมูกข้าวหลุดหายไปแล้ว ซึ่งจมูกข้าวนี้เองที่เป็นแหล่งรวมสารอาหารที่มากที่สุดในเมล็ดข้าวแต่ละเม็ด

2. สีของเม็ดข้าวเป็นสีขาวขุ่น อาจมีสีน้ำตาลปนอยู่บ้าง มากน้อยขึ้นอยู่กับพันธุ์ข้าว บางครั้งอาจมีสีเขียวอ่อนๆ ติดอยู่ แสดงว่า เป็นข้าวเก็บเกี่ยวใหม่ๆ เยื่อหุ้มเมล็ดข้าวจึงยังติดอยู่ มิได้ถูกข้ดสีทิ้งไป

3. เป็นข้าวที่แห้งสนิท ไม่มีความชื้น หรือขึ้นรา

4. บรรจุในถุงปิดสนิท มีแหล่งผลิตและราคาจำหน่ายที่ชัดเจน

5. การซื้อแต่ละครั้ง ควรซื้อในปริมาณที่พอเหมาะกับสมาชิกในครอบครัวที่จะรับประทานได้ 1 - 2 สัปดาห์

6. การเก็บรักษา เมื่อเปิดถุงใช้แล้ว ควรปิดถุงให้มิดชิด เพื่อป้องกันแมลงสาบ หรือ หนู ลงไปแพร่เชื้อ

วิธีการหุงข้าวกล้อง
เพื่อให้ข้าวกล้อง ยังคงมีสารอาหารครบถ้วนบริบูรณ์มากที่สุด จึงขอแนะนำวิธีการหุงข้าวกล้องที่ถูกต้อง ดังนี้

1. การซาวข้าวกล้อง ควรซาว 1 - 2 ครั้ง เท่านั้น เพราะถ้าซาวหลายครั้ง วิตามินบางชนิดที่ละลายน้ำได้ จะสูญเสียไปกับการซาวข้าว

2. การหุงข้าวกล้องแต่ละครั้ง ควรหุงให้พอดีกับการรับประทานแต่ละมื้อ เมื่อหุงสุกให้ถอดปลั๊กหม้อหุงข้าวไฟฟ้าทันที และรับประทานให้หมดหม้อ เพราะวิตามินบางชนิด เมื่อถูกความร้อนจัดๆ นานๆ จะเสื่อมสลายทันที ยิ่งเสียบหม้อหุงข้าวอุ่นไว้หลายชั่วโมง หรือ อุ่นไว้ตลอดวัน วิตามินและแร่ธาตุบางชนิดจะไม่เหลืออยู่เลย

สนใจทำธุรกิจกับเรา ติดต่อ เกียรติศักดิ์ โทร 0804413343 หรือ คลิก

ประวัติหมอสมฤดี




อาจารย์แพทย์หญิงสมฤดี เอื้อสุดกิจ
ประธานกรรมการ
บริษัท อมตะอินเตอร์เนชั่นแนลเน็ตเวิร์ค จำกัด(มหาชน)
อาหารและยา อย.เ
ลขที่ 11-1-32732-1-0743
กอท.ฮล.73 166 027 02 48
ใบอนุญาต สคบ.นร.0307/5369




แพทย์หญิงสมฤดี เอื้อสุดกิจ สำเร็จ การศึกษาจากคณะแพทย์ศาสตร์ (ศิริราช) เมื่อปี พ.ศ.2524 หลังจากนั้น เป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลศิริราช และเดินทางไปศึกษาต่อพร้อมกับทำงานที่ประเทศอังกฤษ นานกว่า 2 ปี ได้คุณวุฒิแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนัง หลังจากกลับมาเมืองไทย ได้เป็นอาจารย์สอนนักศึกษาแพทย์ ที่คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทลัยมหิดล (รามาธิบดี) ระหว่างนี้ ได้เปิดคลีนิคส่วนตัวรักษาคนไข้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย พร้อมๆ กับได้ ค้นคว้า ศึกษา วิจัย น้ำมันจมูกข้าว

และได้นำน้ำมันจมูกข้าว รักษาคนไข้ ควบคู่กับยาแผนปัจจุบัน ผลการศึกษา ทดลอง ในเชิงวิทยาศาสตร์ นานกว่า 7 ปี จึงแน่ใจว่า น้ำมันจมูกข้าว มีสารอาหารที่ช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับสารอาหารจาก น้ำมันจมูกข้าว อย่างต่อเนื่องมีสุขภาพดีขึ้น ถึงขั้นหายป่วยได้ แพทย์หญิงสมฤดี เอื้อสุดกิจ จึงจดสิทธิบัตรเป็นอาหารเสริมธรรมชาติที่ปลอดภัยไร้สิ่งเจือปน และได้ผลิตเป็นอาหารเสริมที่พร้อมจำหน่ายแล้ว

ผลการศึกษา ค้นคว้า ทดลอง อาหารเสริมน้ำมันจมูกข้าว ของแพทย์หญิงสมฤดี เอื้อสุดกิจ ได้ผลตรงกับการศึกษา ค้นคว้า ทดลอง ของนายแพทย์เรย์.ดี แสตรนด์ ชาว สหรัฐอเมริกา ที่ได้ข้อสรุปว่า การรักษาผู้ป่วย หากจะให้ได้ผลดี ต้องมีการให้อาหารเสริมเป็นโภชนาการบำบัดด้วย จะรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันเพียงอย่างเดียวไม่ได้

ดังนั้น ผู้ที่สุขภาพร่างกายปกติ การรับประทานน้ำมันจมูกข้าวเป็น ประจำ จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบบริบูรณ์ ทำให้สุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วยง่าย ส่วนผู้ที่เจ็บป่วยอยู่แล้ว หากได้รับประทานน้ำมันจมูกข้าว ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน ก็จะทำให้การรักษาเห็นผลเร็วยิ่งขึ้น

น้ำมันจมูกข้าว ไม่ใช่ยารักษาโรค แต่เป็นสารอาหารที่สกัดจากจมูกข้าวและรำข้าว ซึ่งเป็นส่วนที่มีสารอาหารสมบูรณ์มากที่สุด ผู้ที่รับประทานน้ำมันจมูกข้าวเป็นประจำ จึงทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นตลอดเวลา ร่างกายจึงมีภูมิต้านทานสูง เซลล์ไม่เสื่อม สุขภาพจึงดีตลอดไป


น้ำมันจมูกข้าวอมตะ ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้ว มีเลขทะเบียน อย. ถูก ต้องแล้ว ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคแล้ว ได้รับอนุญาตจาก สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยให้ใช้เครื่องหมายฮาลาลย์แสดงว่า เป็นอาหารที่ชาวมุสลิมบริโภคได้


สนใจเป็นสมาชิก หรือร่วมทำธุรกิจกับเรา คลิกรูปข้างล่าง








น้ำมันรำข้าวจมูกข้าว

น้ำมันรำข้าวจมูกข้าวอมตะ

น้ำมันรำข้าวจมูกข้าว สารอาหารสกัดจากจมูกข้าวและรำข้าว วิธีการสกัดไม่ผ่านกระบวนการความร้อน จึงทำให้น้ำมันจมูกข้าวมีสารอาหารครบถ้วนบริบูรณ์ ผู้ที่ต้องการสารอาหารจากจมูกข้าวและรำข้าว แต่ไม่สามารถรับประทานข้าวกล้องได้ทุกวัน การรับประทานน้ำมันจมูกข้าวชนิดแคปซูล จึงเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่ง อาจารย์แพทย์หญิงสมฤดี เอื้อสุดกิจ ได้ศึกษาค้นคว้าวิจัยทดลองและผลิต น้ำมันจมูกข้าวชนิดแคปซูล บรรจุกล่องละ 60 แคปซูล จำหน่ายให้บุคคลทั่วไปราคากล่องละ 900 บาท จำหน่ายให้สมาชิกกล่องละ 600 บาท ติดต่อสมัครสมาชิกและสั่งซื้อที่ เกียรติศักดิ์ โทร 080-441-3343 หรือ สนใจเป็นสมาชิกสมัครได้ที่

ค้นพบหนทางสู่สุขภาพกาย และสุขภาพเงินแข็งแรง


ขอเอาประสบการณ์ของผู้ประสบความสำเร็จมาเล่าสู่กันฟังครับ การที่สมาชิกอมตะจะพบความสำเร็จ ต้องดำเนินการ 3 อย่าง คือ

1. ศึ่กษาเรื่องราวของอมตะ ทั้งสรรพคุณสินค้าและแผนการตลาด รวมทั้งเทคนิคการทำงานด้วย

2. ใช้สินค้าที่จำเป็นต้องใช้เสมอๆ เช่น แชมพู สบู่ ยาสีฟัน ปุ๋ย อาหารเสริม ฯลฯ

3. แนะนำ บอกต่อ ในลักษณะปากต่อปาก หรือ บอกต่อด้วยเว็บไซต์

สมาชิก อมตะที่ดำเนินกิจกรรมทั้ง 3 ข้อ อย่างต่อเนื่อง ท่านจะพบความสำเร็จอย่างแน่นอน.....ความสำเร็จในธุรกิจอมตะ หมายถึง การมีสุขภาพดีขึ้น และ การมีรายได้เดือนละกว่าแสนบาทขึ้นไป

อมตะ เป็นธุรกิจเฟรนไชส์ ขณะนี้ ท่านได้ลงทุนซื้อเฟรนไชส์จากอมตะแล้วด้วยเงิน 250 บาท ตลอดชีพ

อมตะ เป็นธุรกิจเน็ตเวิร์ค เมื่อท่านแนะนำคนอื่นให้ซื้อเฟรนไชส์อมตะ คนที่ท่านแนะนำเป็นเน็ตเวิร์คของท่าน และ เมื่อคนนั้นแนะนำต่อไป เน็ตเวิร์คของท่านก็ยิ่งขยายต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

อมตะ เป็นธุรกิจอีคอมเมิร์ช เพราะท่านสามารถแนะนำ บอกต่อ ด้วยเว็บไซต์ ซึ่งผมยินดีทำเว็บไซต์ให้ทุกท่านฟรี

เคล็ดลับในการทำธุรกิจอมตะให้พบความสำเร็จ คือ
1. ไม่เลิกกิน ไม่เลิกใช้ ผลิตภัณฑ์อมตะ (ซื้อกิน ซื้อใช้เท่าที่ต้องการ ไม่ควรซื้อไปขาย)

2. ไม่เลิกแนะนำอมตะ (แนะนำสินค้า แนะนำแผนธุรกิจ และ แนะนำวิธีการทำงานที่ถูกต้อง)

สมาชิกที่ทำทั้ง 2 ข้อ อย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จหนีไม่พ้น


ขอบคุณทุกท่านครับ

สนใจทำธุรกิจ ติดต่อ เกียรติศักดิ์ ครับ โทร 080-441-3343 หรือกดรูปลิงค์ข้างล่าง เพื่อสมัครออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วิตามินอี

สิ่งที่ร่างกายขาดไม่ได้แม้แต่วันเดียว

วิตามินอี ความสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
วิตามินเป็นสารอินทรีย์ที่มีอยู่ในอาหารที่จำเป็นสำหรับร่างกายคนเราอย่างยิ่ง ช่วยให้ร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและต่อสู้กับความเจ็บป่วยได้
ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์รวบรวมวิตามินได้ประมาณ 13 ชนิด หนึ่งในนั้นได้แก่ วิตามินอี ที่เรามักได้ยินกิตติศัพท์ร่ำลือในด้านการป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่ชรา ดังนั้นนอกจากในอาหารแล้ว ยังพบว่ามีการสกัดวิตามินอีมาผสมในเครื่องสำอางหลายชนิด คราวนี้จึงขอพาคุณทำความรู้จักกับวิตามินอี และประโยชน์ต่อร่างกายคนเราให้มากขึ้น

วิตามินอี คืออะไร?
วิตามินอี หรือ โทโคเฟอรอล (tocopherol) เป็นวิตามินชนิดหนึ่งที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับเป็นประจำทุกวัน มีลักษณะเป็นน้ำมันสีเหลือง และละลายได้ดีในไขมัน เช่นเดียวกับวิตามินเอ วิตามินดี และวิตามินเค วิตามินอี มีหลายชนิด ได้แก่ แอลฟา เบตา แกมมา และซิกมา โทโคเฟอรอล โดยชนิดที่ออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด คือ แอลฟาโทโคเฟอรอล (alpha-tocopherol)

ประโยชน์ของวิตามินอีต่อร่างกาย
เนื่องจากผนังของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายมีไขมันที่ไม่อิ่มตัวเป็นโครงสร้างหลัก โครงสร้างที่ว่านี้จะถูก ทำลายได้ง่ายด้วยกระบวนการออกซิเดชัน (oxidation) และส่งผลให้เกิดสารอนุมูลอิสระ (free radicals) ชนิดต่างๆ ตามมา ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างภายในเซลล์ที่สัมผัสกับสารอนุมูลอิสระ วิตามินอี เป็นสารต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันและอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ (potent antioxidant) ซึ่งมีผลในการป้องกันการทำลายเซลล์ หรือลดความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ที่มีสาเหตุมาจากอนุมูลอิสระได้ นอกจากนี้ยังมีผลช่วยปกป้องการเสื่อมสลายของเยื่อหุ้มเซลล์ (stabilize) ที่บุอยู่ตามอวัยวะต่างๆ เช่น ผิวหนัง ตา ตับ เต้านม หลอดเลือด และเม็ดเลือดแดง ทำให้อวัยวะดังกล่าวทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีความคงทนมากขึ้นด้วย

วิตามินอีกับโรคมะเร็ง
คุณสมบัติที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระของวิตามินอี นอกจากจะช่วยป้องกันเซลล์จากการทำลายของปฏิกิริยาออกซิเดชันและการเกิดอนุมูลอิสระแล้ว วิตามินอียังช่วยป้องกันการเกิดสารไนโตรซามีน (nitrosamines) ตัวการหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง โดยเกิดจากการทำปฏิกิริยาของสารจำพวกไนไตรท์ที่มีในอาหารที่รับประทานเข้าไปภายในกระเพาะอาหาร และยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายอีกด้วย นอกจากนี้การศึกษาในห้องปฏิบัติการพบว่าวิตามินอียังมีผลช่วยยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งได้
วิตามินอีกับการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง
กระบวนการออกซิเดชันของไขมันชนิด LDL (low density lipoprotein) ซึ่งเป็นไขมันชนิดเลวในเลือดจะ มีผลทำให้เส้นเลือดเกิดความเสียหายอย่างมาก มีหลักฐานที่แสดงว่าวิตามินอี มีคุณสมบัติช่วยลดการเกิดกระบวนการที่ว่านี้ และช่วยลดการเกาะตัวกันของเกล็ดเลือด (platelet aggregation) ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจดีขึ้น และยังช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคระบบหลอดเลือดหัวใจ รวมถึงหลอดเลือดสมองด้วย โดยได้มีการศึกษาในประเทศอังกฤษพบว่าคนที่ได้รับวิตามินอีอย่างน้อยวันละ 100 IU หลังการผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจจะช่วยป้องกันการสะสมของไขมันที่ผนังเลือดได้ และคนที่ได้รับวิตามินอีประมาณวันละ 400-800 IU อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อยปีครึ่งจะช่วยป้องกันอัตราการเกิดโรคหัวใจวายได้ถึง 77%

วิตามินอีกับโรคเบาหวาน
เชื่อกันว่าสาเหตุที่คนเป็นโรคเบาหวานจะมีการสะสมของสารอนุมูลอิสระเนื่องจากกระบวนการเผาผลาญสารอาหารในร่างกายผิดปกติ นอกจากนี้แล้วยังมีอัตราการตายจากการเกิดโรคแทรกซ้อนจากโรคหลอดเลือดหัวใจได้สูง มีงานวิจัยที่แสดงว่าคนเป็นโรคเบาหวานที่รับประทานวิตามินอีเพียงวันละ 100 IU จะช่วยทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ได้ดี และยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงของหลอดเลือดอีกด้วย

วิตามินอีกับโรคต้อกระจก
โรคต้อกระจก (cataracts) เป็นความผิดปกติของเลนส์ตาทำให้มองภาพไม่ชัดเจน และอาจตาบอดได้ โดยเชื่อว่าเกิดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันที่ผิดปกติของโปรตีนในเลนส์ตา มีการศึกษาพบว่าสารที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระจำพวกวิตามินอีสามารถช่วยป้องกัน และชะลอการเกิดของโรคต้อกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่พบว่าสารในกลุ่มนี้ไม่ช่วยให้เกิดผลดีได้ในคนที่สูบบุหรี่ โดยพบว่าการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของการเกิดโรคต้อกระจก อย่างไรก็ดีจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลไกของสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินอีเกี่ยวกับโรคต้อกระจก
วิตามินอี สารอาหารที่ช่วยชะลอความแก่
สารอนุมูลอิสระจะมีผลทำให้เซลล์เกิดความเสียหายและตายได้ในที่สุด ซึ่งนอกจากจะเป็นสาเหตุทำให้ ร่างกายอ่อนแอและแก่เร็วกว่าปกติแล้ว หากเกิดที่สมองก็จะทำให้มีโอกาสเป็นโรคเรื้อรังทางสมองต่างๆ เช่น โรคสมองเสื่อม (Alzheimer’s disease) โรคพาร์คินสัน (Parkinson’s disease) เป็นต้น จากการศึกษาทางคลินิกพบว่าผู้ที่รับประทานวิตามินอี 1,300 IU ต่อวันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปีจะช่วยชะลอการเกิดโรคสมองเสื่อมจากการอุดตันของเส้นเลือดในสมองได้
วิตามินอีช่วยแก้ไขข้อบกพร่องของระบบสืบพันธุ์
มีการศึกษาพบว่าผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่ได้รับวิตามินอีวันละ 800 IU อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 1 เดือน สามารถช่วยลดอาการต่างๆ เช่น อาการร้อนวูบวาบ นอนไม่หลับ เหนื่อยล้า ซึมเศร้า และเจ็บหน้าอกได้ นอกจากนี้ในผู้ชายที่มีระบบสืบพันธุ์ไม่สมบูรณ์ พบว่าเมื่อได้รับวิตามินอี วันละ 200 IU อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 เดือน จะมีโอกาสมีบุตรสูงขึ้น เนื่องจากวิตามินอีช่วยลดระดับของอนุมูลอิสระในน้ำอสุจิ จึงทำให้ผนังเซลล์อสุจิแข็งแรงขึ้น และส่งผลให้มีอัตราการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นถึง 30% แต่ก็อาจไม่ปรากฏผลหากคนนั้นเป็นคนสูบบุหรี่ เนื่องจากการสูบบุหรี่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งจะทำลายความแข็งแรงของอสุจิ และอาจทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายเสื่อมโทรมลง
วิตามินอีกับผิวพรรณ
สถาบันโรคผิวหนังหลายแห่งมีการวิจัยพบว่าวิตามินอีช่วยป้องกันผิวจากการไหม้เกรียม ริ้วรอยเหี่ยวย่นและรอยแผลได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานหรือการทาที่ผิวหนังโดยตรง เนื่องจากการเกิดแผลหรือการอักเสบบนผิวหนัง หรือการถูกแสงแดดเผาไหม้จะทำให้เกิดการสะสมของอนุมูลอิสระขึ้น วิตามินอีจะทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำที่ดูดซับสารอนุมูลอิสระก่อนที่จะทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ เสียหาย จึงช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของผนังเซลล์ทำให้เซลล์ผิวแข็งแรงขึ้น และช่วยให้ทนต่อรังสี UV ในแสงแดดได้ดีขึ้น ดังนั้นผู้ผลิตเครื่องสำอางจึงนิยมนำวิตามินอีมาใช้เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์

จะเกิดอะไรขึ้นหากได้รับวิตามินอีมากเกินไป เนื่องจากวิตามินอีไม่สามารถละลายในน้ำได้ ร่างกายจึงไม่สามารถขับวิตามินอีออกจากร่างกายได้ทาง ปัสสาวะดังเช่นวิตามินซี หรือวิตามินบี โดยร่างกายจะขับวิตามินอีส่วนเกินบางส่วนออกมาทางอุจจาระ ดังนั้นหากรับประทานวิตามินอีมากเกินไปจะสะสมในร่างกาย นำผลเสียคือ อาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ไปจนถึงกล้ามเนื้ออ่อนแรง จึงแนะนำว่าไม่ควรรับประทานอาหารเสริมประเภทวิตามินอีมากเกินกว่า 1,500 IU ต่อวัน

อาหารชนิดใดบ้างที่เป็นแหล่งของวิตามินอี? แหล่งอาหารที่มีวิตามินอีอยู่ในปริมาณสูง ได้แก่ นม ไข่ ถั่ว ปลา เนื้อสัตว์ เช่น เป็ด ไก่ น้ำมันพืชต่างๆ(ที่สกัดเย็น) โดยเฉพาะน้ำมันจากจมูกข้าวรำข้าว ผักที่กินใบ เช่น ผักกาดหอม ผักโขม เป็นต้น ถึงแม้ว่าวิตามินอีจะค่อนข้างทนต่อความร้อนและไม่ละลายในน้ำก็ตาม แต่การประกอบอาหารที่ใช้ความร้อนสูงๆ เช่น การทอด รวมทั้งการเหม็นหืนของน้ำมันก็อาจทำให้วิตามินอีสูญเสีย สภาพไปได้

น้ำมันรำข้าวจมูกข้าว มีวิตามินอีชนิดโทโคเฟอรอล (Tocopherol) ซึ่งเป็นกลุ่มวิตามินอีที่ร่างกายต้องการทุกวัน ดังนั้น การรับประทาน น้ำมันรำข้าวจมูกข้าวอมตะ วันละ 2 - 4 แคปซูล ร่างกายจึงได้รับวิตามินอีอย่างเพียงพอ ทำให้สุขภาพแข็งแรงตลอดไป ในทางกลับกัน หากร่างกายขาดวิตามินอีชนิดนี้อย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้เกิดโรคต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น

ข้าวกล้องป้องกันโรค

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันจันที่ 21 เมษายน 2551

“....ข้าวกล้อง คนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยกินกันเพราะเห็นว่าเป็นข้าวของคนจน ข้าวกล้องมีประโยชน์ทำให้ร่างกายแข็งแรง ข้าวขาวเม็ดสวยแต่เขาเอาของดีออกไปหมดแล้ว มีคนบอกว่าคนจนกินข้าวกล้อง เรากินข้าวกล้องทุกวัน เรานี่แหละเป็นคนจน.....”
จากกระแสพระราชดำรัส ในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 18 เม.ย.2541 ส่งผลให้หลายคนหันมาบริโภคข้าวกล้องตามที่พระดำรัส

“ข้าวกล้อง” เป็นข้าวที่สีเปลือกออกโดยมิได้ขัดผิว ซึ่งมีคุณค่าทางสารอาหารเป็นประโยชน์ มากมายต่อร่างกาย อีกทั้งยังมีจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดที่อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามินและเกลือแร่นานาชนิด ที่นอกจากช่วยเสริมสร้าง ฟื้นฟูอวัยวะส่วนต่างๆ ยังช่วยป้องกันโรค อาทิ ไขมันในเส้นเลือดสูง เบาหวาน ภูมิแพ้ ไตวาย

แต่! ปัญหาการบริโภคข้าวกล้องคือ “หุงยาก” ยิ่งหากไม่รู้เคล็ดลับกว่าข้าวจะสุกต้องใช้เวลานาน หลังๆหลายคนจึงเริ่มหันกลับมากินข้าวขาว (ข้าวที่ขัดผิว)

ฉะนี้...ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุดารัตน์ เจียมยั่งยืน อาจารย์ภาควิชาอุตสาหกรรมเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร จึงวิจัยเรื่อง “ผลของการงอกต่อสมบัติ และการเปลี่ยนแปลงทางคุณค่าอาหารบางประการของข้าว กล้องหอมมะลิไทย” โดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สนับสนุนทุนวิจัย

ผศ.ดร.สุดารัตน์ บอกว่า ปัญหาดังกล่าวสามารถแก้ไขได้ โดยใช้ความรู้ที่เป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่ไม่ได้รับการส่งเสริมและศึกษาอย่างจริงจังในทางวิทยาศาสตร์ นั่นคือ การนำข้าวกล้องไปแช่ในน้ำให้เกิดการงอก ก่อนนำไปหุงรับประทานหรือทำให้แห้ง

“...การงอกเป็นกระบวนการหนึ่งที่เริ่มมีการใช้กับเมล็ดธัญพืชต่างๆ เช่น ข้าว ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี เพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหารก่อนนำมาหุงหรือปรุงเพื่อรับประทาน ซึ่งนอกจากเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับเมล็ดข้าวแล้ว ยังช่วยให้หุงต้มได้ง่ายขึ้น...”

ทั้งนี้ เริ่มจากทำการศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการงอกของข้าวกล้องหอมมะลิ ข้าวกล้องมันปู ตั้งแต่เวลาที่ใช้แช่ข้าว เวลาในการเพาะอุณหภูมิห้อง ก่อนนำมาอบแห้ง ซึ่งขั้นตอนจะนำข้าวกล้องที่ผ่านการกะเทาะเปลือกไม่นานเกิน 2 สัปดาห์ คัดเลือกทำความสะอาด นำมาแช่น้ำโดยควบคุมอุณหภูมิ เป็นเวลานาน 36-72 ชั่วโมง

เปลี่ยนน้ำเป็นระยะ เพื่อป้องกันการเกิดการหมัก และการปนเปื้อนจากเชื้อจุลินทรีย์ จากนั้นใช้น้ำร้อน เพื่อหยุดปฏิกิริยาการงอก ทำให้แห้งที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส เพื่อลดความชื้นของข้าวลงเหลือประมาณ 12-13% นำมาศึกษาเปอร์เซ็นต์การงอก สมบัติทางเคมีกายภาพ คุณภาพการหุงต้ม การวิเคราะห์วิตามิน พร้อมศึกษาแบคทีเรีย ยีสต์ ราข้าว รวมถึงลักษณะทางด้านประสาทสัมผัสข้าวกล้องก่อนและหลังการงอก

ได้ผลว่า การแช่ข้าวทำให้เกิดการงอก ซึ่งสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า หากเพิ่มเวลาแช่นานขึ้นมีผลให้ขนาดเม็ดขยาย ความแข็งลดลง นอกจากนี้ปริมาณวิตามินอีเอนไซม์แอลฟา-อะไมเลสยังเพิ่ม ส่งผลให้เกิดการย่อยแป้งเป็นน้ำตาล ฉะนั้น ข้าวจึงมีความหวาน ที่สำคัญการหุงให้สุกใช้เวลาน้อยลง ข้าวนุ่ม กลิ่นหอม มีการพองตัวของเมล็ดข้าวมากขึ้น และยังไม่มีจุลินทรีย์หลงเหลืออยู่

...ปัจจุบันการบริโภคข้าวกล้อง ที่นอกจากจะมีจุดเด่นด้านกลิ่นและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ยังเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ (Functional Food) ดังนั้น เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่ใส่ใจด้านสุขภาพการนำกระบวนการงอกมาใช้ นอกจากย่นเวลาในยุคต้องช่วยกันประหยัด ยังเป็นการเพิ่ม คุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าข้าวขาวทั่วไป ที่นับว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้บริโภค...

เผยพบความมหัศจรรย์ของ

นักวิจัยเผยความมหัศจรรย์ของข้าว โดยเฉพาะรำข้าวและจมูกข้าว มีสารสำคัญทั้งน้ำมันรำ เกลือแร่ วิตามิน สารต้านมะเร็ง บำรุงร่างกาย ป้องกันสารพัดโรค ข้าวมีสาร “แอนโทไซยานิน และโปรแอนโทไซยานิดิน” เป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าวิตามินอีและซี เรียกร้องเร่งพัฒนาพันธุ์ข้าวให้มีเกลือแร่ วิตามิน โปรตีนสูง บีบน้ำมันได้มาก


ดร.สมวงษ์ ตระกูลรุ่ง ผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการดีเอ็นเอเทคโนโลยี ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ประเทศไทยมีความหลากหลายของพันธุ์ข้าว บ่งบอกถึงความพิเศษของข้าวในการเป็นแหล่งสะสมของธาตุอาหารและสารพิเศษ โดยสัดส่วนร้อยละ ๘๐ ของข้าวเป็นแป้ง อีกร้อยละ ๒๐ เป็นรำและจมูกข้าว ในทางอุตสาหกรรม ประเทศไทยยังนำเข้าแป้งจากข้าวสาลี เพื่อใช้ในการผลิตขนมปังและเบเกอรี่ ซึ่งหากไทยปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้แป้งมีความกรอบเหมือนแป้งข้าวสาลี จะลดการไหลออกของเงินปีละไม่น้อย

ดร.สมวงษ์ กล่าวว่า แต่ละปี ประเทศไทยผลิตรำข้าวไม่ต่ำกว่า ๑ ล้านตัน ซึ่งร้อยละ ๑๐ นำไปผลิตน้ำมันรำ ถือเป็นน้ำมันที่มีคุณภาพดี เนื่องจากมีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ถึงร้อยละ ๗๗ มีกรดไขมันที่จำเป็นถึงร้อยละ ๓๑.๗ ทั้งยังเป็นแหล่งวิตามินอีและบี สารต้านอนุมูลอิสระ หรือสารต้านมะเร็ง มีสารช่วยลดไขมันคอเลสเตอรอล จึงถือว่าน้ำมันรำข้าว เป็นน้ำมันเพื่อสุขภาพ แต่ที่ผ่านมา ยังไม่มีการปรับปรุงพันธุ์ข้าวในประเทศไทยให้มีน้ำมันมาก มีโปรตีนสูง และน้ำมันไม่หืน ซึ่งหากเราพัฒนาพันธุ์ข้าวในลักษณะดังกล่าวได้ จะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับข้าว

“ข้าวจัดเป็นอาหารที่มหัศจรรย์ มีทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต นอกจากนั้น ยังมีวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย มีมากในรำข้าวและจมูกข้าวทั้งวิตามินเอ วิตามินบี ชนิดต่าง ๆ วิตามินซี และดี รวมทั้งเกลือแร่ อันเป็นส่วนประกอบสำคัญของ กล้ามเนื้อ เลือด ระบบประสาท ฟัน ช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินไปใช้ได้ดี ข้าวมีแคลเซี่ยม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เป็นต้น นอกจากนั้น ในรำข้าวและจมูกข้าว ยังพบสารต้านมะเร็ง ป้องกันเซลล์ผิดปกติได้ดีกว่าวิตามินอีและวิตามินซี ถึง ๑๐ เท่า” ดร.สมวงษ์ กล่าว

นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยพบว่า สารแอนโทไซยานิน และโปรแอนโทไซยานิดิน ซึ่งทำให้ข้าวบางพันธุ์มีสีพิเศษ เช่น ข้าวมีสีดำ สีแดง สีน้ำตาล สีเหลือง มีประโยชน์ต่อร่างกาย คือ เป็นสารที่มีคุณสมบัติต้านมะเร็ง ทำให้เซลล์ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ลดการอักเสบของผิวหนัง ลดริ้วรอยทำให้ผิวพรรณผ่องใส ผมดกดำ ทำให้เซลล์สมองทำงานได้ดี ส่งผลความจำดี

“ประเทศเรามีข้าวหลากหลายพันธุ์ เป็นความหลากหลายที่เราสามารถพัฒนาให้เกิดประโยชน์ได้ นำเทคนิคการปรับปรุงพันธุ์ให้ข้าวไทยมีธาตุเหล็ก มีปริมาณน้ำมัน มีเกลือแร่ วิตามินเพิ่มขึ้น มีกระบวนการนำสิ่งเหล่านี้มาเพิ่มมูลค่า ต่อไปเกษตรกรจะไม่ใช่คนที่ยากจนแล้ว” ดร.สมวงษ์ กล่าว

ปัจจุบัน ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติฯ พัฒนาสารสำคัญในข้าวผลิตเป็นอาหารเสริม ขนมคุกกี้ สบู่ แชมพูสระผม และเครื่องสำอางอีกหลายชนิด

แหล่งที่มา : เวปไซต์ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ

โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน หรือ อัมพฤกษ์อัมพาต

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ จาก A.I.Net
การตรวจโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน และป้องกันการเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต
โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน หรือ สโตร๊ก (Stroke) อาจฟังไม่คุ้นหู แต่ถ้าบอกว่า อัมพฤกษ์หรืออัมพาต ทุกคนคงรู้จักกันดี อัมพฤกษ์หรืออัมพาตเป็นผลที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่สมองเกิดภาวะผิดปกติ ทำให้สมองส่วนนั้นไม่สามารถทำงานได้ อาจเป็นอย่างชั่วคราวหรือถาวร อาการที่มักจะพบได้ทั่วไปก็คือ พูดไม่ชัด พูดไม่ถูกความหมาย ลิ้นแข็ง แขนขาไม่มีแรงหรือชา ซึ่งอาการอาจเกิดได้แบบทันทีทันใด และค่อยๆ เป็นมากขึ้นในช่วง 2-3 วัน หรือเป็นๆ หายๆ สาเหตุอาจแยกได้ง่ายๆ เป็น 2 กลุ่มก็คือ

1.กลุ่มหลอดเลือดสมองตีบตัน
2.กลุ่มเลือดออกในสมอง กลุ่มแรกพบมากประมาณ 70% ของความผิดปกติทางสมองทั้งหมด ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้มีสาเหตุความผิดปกติของหลอดเลือดสมอง ผลที่เกิดได้กับทั้งผู้ป่วยหรือครอบครัว คือ ประมาณ 30% ของผู้ที่มีความผิดปกติเกิดขึ้นจะเสียชีวิต อีก 30% ต้องทุพพลภาพหรือทำงานไม่ได้และเพียง 30% เท่านั้นที่หายจากโรคแต่ก็ต้องทานยาควบคุมไปตลอดชีวิต

สาเหตุของโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน มี 3 สาเหตุใหญ่ๆ ดังนี้

1.เกิดจากเส้นเลือดในสมองมีการตีบแคบลงเรื่อยๆ ตามระยะเวลา ซึ่งส่วนมากในคนไทยมักจะเป็นจากสาเหตุนี้
2.มีก้อนเลือดแข็งตัวขนาดเล็กหลุดจากลิ้นหรือผนังหัวใจลอยไปตามกระแสเลือด และไปอุดตันหลอดเลือดในสมอง อาจพบได้ในผู้ป่วยที่หัวใจโตอยู่ก่อน
3.เกิดจากมีการตีบแคบลงเรื่อยๆ ของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองบริเวณคอ ถ้าเป็นหลอดเลือดที่คอด้านหน้าตีบอาการในระยะแรกจะมาด้วยอาการแขนขาชาหรือมีอาการอ่อนแรงเป็นพักๆ หรือในบางรายมีอาการพูดไม่ออกหรือพูดไม่ชัด แต่ถ้าเป็นหลอดเลือดที่คอด้านหลังตีบจะมาด้วยมีอาการมึนงงเป็นๆ หายๆ ความจำไม่ดีหรือตามัวลง
อาการของสมองขาดเลือด มี 3 ระดับ

เนื่องจากผู้ป่วยแต่ละคนมีสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงแตกต่างกัน และหลอดเลือดสมองก็มีขนาดต่างๆ กัน อาการของผู้ป่วยจะขึ้นอยู่กับช่วงระยะเวลาการดำเนินของโรค ตำแหน่งที่หลอดเลือดเกิดการตีบตันในสมองและขนาดของหลอดเลือดที่ตีบตันว่าเป็นหลอดเลือดใหญ่หรือ หลอดเลือดขนาดเล็ก อาการของโรคแบ่งความรุนแรงได้ 3 ระดับคือ

1.อาการน้อย คือ กล้ามเนื้ออ่อนแรง อาจจะเป็นที่แขนอย่างเดียว ขาอย่างเดียว หน้าและแขน การเคลื่อนไหวช้าลง ที่ใบหน้าหรือมุมปาก ความจำเสื่อมชั่วขณะ คิดอะไรไม่ออก พูดไม่ชัด แต่พอที่จะเดินได้มักไม่มีอาการปวดศีรษะ เป็นต้น อาการจะเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วินาที หรือ เป็นชั่วโมงแต่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง กลุ่มนี้ถ้ารักษาแต่เนิ่นๆ ภายใน 2-4 สัปดาห์มักจะกลับคืนเกือบปกติ หรือ เป็นปกติในบางราย
2.อาการปานกลาง (อัมพฤกษ์) คือ อาการมักเกิดขึ้นแบบทันทีทันใด และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้ออ่อนแรงจนสูญเสียการควบคุม การทรงตัวในบางขณะ ขยับไม่ได้หรือพูดไม่ได้เลย มีอาการตามัวครึ่งตา หรือมืดไปข้างหนึ่ง สูญเสียความทรงจำบางส่วนและความสามารถในด้านการคิดคำนวณ การตัดสินใจ และมักมีอาการทางอารมณ์ร่วมด้วย เช่น ซึมเศร้า หรือ หงุดหงิดมากกว่าปกติ กลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาเพื่อสังเกตอาการและรีบให้การรักษาในโรงพยาบาล เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน ภายใน 3-5 วัน หลังจากเริ่มมีอาการ เช่น ซึมลงจากภาวะสมองบวมหรือภาวะเลือดซึมในสมอง การฟื้นตัวในผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเริ่มเห็นชัดประมาณสัปดาห์ที่ 3 อาการหลังจากนี้มักจะไม่กลับมาเป็นปกติ อาจมีอาการเกร็ง พูดไม่ชัด ต้องทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง และต้องใช้อุปกรณ์ในการช่วยพยุงในชีวิตประจำวัน เช่น ไม้เท้า รถเข็น เป็นต้น
3.อาการหนัก (อัมพาต) คือ มักไม่รู้สึกตัวตั้งแต่ต้น หรืออาการซึมลงเร็วมากภายใน 24 ชั่วโมง กลุ่มนี้มักเกิดกับผู้ป่วยที่หลอดเลือดสมองขนาดใหญ่ตีบตัน ในผู้ป่วยสูงอายุ มีโรคประจำตัวหลายอย่างอยู่แล้ว เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือเคยเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตมาก่อน มักเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย เช่น การติดเชื้อในปอดจากการสำลัก สมองบวม ผู้ป่วยมักจะต้องได้รับการดูแลอภิบาลในหออภิบาลผู้ป่วย ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ และบางรายต้องผ่าตัดเพื่อลดภาวะสมองบวม เมื่อผ่านพ้นช่วงวิกฤติไปได้ ผู้ป่วยจะฟื้นตัวได้ระดับหนึ่งแต่ไม่มาก แขนขาขยับเองไม่ได้ พูดไม่ได้ กล้ามเนื้อหน้าทำงานไม่เท่ากัน หนังตาตกกลอกตาไม่ได้ กลืนอาหารลำบาก ปฏิกิริยาตอบสนองช้า สูญเสียความทรงจำเนื่องจากเนื้อสมองถูกทำลายไปมาก จะต้องมีผู้ช่วยเหลือตลอดเวลา และอาจมีปัญหาเรื่องการติดเชื้อ เช่น ปอดอักเสบ แผลกดทับ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นต้น

ปัจจัยเสี่ยงหลักที่ทำให้เกิดโรคสมองขาดเลือด

1.โรคความดันโลหิตสูง 70% ของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจะมีความดันโลหิตสูงกว่าปกติ โรคความดันโลหิตสูงจะทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสเป็นโรคของระบบหลอดเลือดสมองได้มากกว่าคนปกติ เพราะจะทำให้หลอดเลือดแข็งตัวได้ง่ายขึ้น ถ้าระดับไดแอสโตลิค 105 มิลลิเมตรปรอท จะมีโอกาสเสี่ยงมากถึง 10-12 เท่าและเมื่อลดความดันโลหิตได้ 5-6 มิลลิเมตรปรอท จะสามารถลดโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้ ประมาณ 40%

2.โรคเบาหวาน ผู้ที่เป็นเบาหวานและไม่ได้รับการรักษาหรือควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดตีบแข็งทั่วร่างกาย ส่งผลให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน อัตราเสี่ยงของผู้ที่เป็นโรคเบาหวานจะมีโอกาสเกิดเป็นอัมพาตสูงกว่าคนปกติ 2-3 เท่า

3.โรคหัวใจ ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจชนิดขาดเลือดไปเลี้ยงมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดได้ 2-5 เท่าของคนปกติ และถ้าผู้ป่วยมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดเอเตรียวฟิบริเรชั่นมีอากาสเสี่ยงสูงได้ถึง 6 เท่า ซึ่งอาจเกิดจากการมีลิ่มเลือดไปอุดที่สมอง หรือหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ไม่เพียงพอจากการทำงานของหัวใจผิดปกติ

4.การสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่จะเป็นปัจจัยเสริมให้ผู้ป่วยเกิดอัมพาตได้ง่าย โดยผู้ที่สูบบุหรี่จะมีโอกาสเป็นอัมพาตได้มากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่มากขึ้น หากหยุดบุหรี่ได้ 2-5 ปี พบว่าโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองลดลง 30-40%

ปัจจัยเสี่ยงรองลงมา ได้แก่

1.ภาวะที่มีไขมันหรือคลอเลสโตรอลสูงในหลอดเลือด
2.ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณสูงมากเกินไป
3.ภาวะขาดการออกกำลังกาย เกิดภาวะเครียดและโรคอ้วน
4.ฮอร์โมน ยังไม่พบว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างชัดเจน ยกเว้นผู้หญิงที่รับประทานฮอร์โมนในปริมาณสูงร่วมกับมีความดันโลหิตสูงหรือสูบบุหรี่ร่วมด้วย

การตรวจวินิจฉัยเพื่อให้ทราบโอกาสเสี่ยงต่อโรคสมองขาดเลือดสามารถทำได้หลายวิธี

1.การตรวจเม็ดเลือดแดงเพื่อดูความเข้มข้นของเกล็ดเลือด
2.การตรวจการอักเสบของหลอดเลือด
3.การตรวจระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด
4.การตรวจวินิจฉัยรอยโรคด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัยและมีความแม่นยำสูง
5.การตรวจสมองด้วยคอมพิวเตอร์ (CT Scan) เป็นการตรวจดูความผิดปกติของหลอดเลือดสมองว่ามีการแตกหรือตีบตันหรือไม่
6.การตรวจสมองด้วยสนามแม่เหล็ก (MRI) เป็นการถ่ายภาพเอกซเรย์สมองด้วยสนามแม่เหล็กที่สามารถให้รายละเอียดของสมองได้ดีและชัดเจนมากยี่งขึ้น โดยสามารถตรวจพบการตีบตันของหลอดเลือดสมองได้ตั้งแต่ในระยะแรก และยังสามารถตรวจพบความผิดปกติของสมอง เช่น เนื้องอกในสมอง เป็นต้น
การตรวจหลอดเลือดด้วยสนามแม่เหล็ก (MRA) เป็นการตรวจหาความผิดปกติของหลอดเลือดบริเวณคอที่เป็นหลอดเลือดใหญ่ที่ไปเลี้ยงสมองและตรวจความผิดปกติกรณีหลอดเลือดโป่งพอง เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีอาการของโรคสมองขาดเลือด
การทำอัลตราซาวน์หลอดเลือดคอ (Carotid Duplex Ultrasound) เพื่อตรวจภาวะการอุดตันของหลอดเลือดบริเวณคอ เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองขาดเลือด
การทำคอมพิวเตอร์สมองชนิด 3 มิติ (Spiral CT Scan) เป็นเครื่องมือที่นำมาตรวจผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการมาไม่นาน และต้องรีบทำการรักษา เพราะสามารถมองเห็นหลอดเลือดอุดตันภายในเวลาไม่เกิน 5 นาที และสามารถทำในผู้ป่วยได้ทุกกรณี

ทางเลือกของการรักษา

การรักษาโดยการใช้ยา, การทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูร่างกาย
การผ่าตัดหลอดเลือดที่คอในผู้ป่วยหลอดเลือดที่คอตีบ และเคยมีอาการของหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอเพื่อป้องกัน การเกิดอัมพาตซ้ำได้
การผ่าตัดสมอง กรณีที่มีภาวะสมองบวมร่วมด้วย
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงของการตรวจรักษา

ในผู้ป่วยที่ได้รับยาเพื่อป้องกันการแข็งตัวของเลือดต้องมาติดตามการรักษากับแพทย์เป็นระยะๆ เพื่อปรับขนาดของยา เพราะยานี้อาจมีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะทำให้เกิดภาวะเลือดออกในสมองได้ ถ้าไม่ได้รับการปรับขนาดของยาในขนาดยาที่เหมาะสม

การป้องกันการเกิดโรคสมองขาดเลือด

ทุกคนสามารถป้องกันการเป็นโรคสมองขาดเลือด หรือ อัมพฤกษ์อัมพาต ได้ด้วยการเริ่มต้นดูแลเอาใจใส่สุขภาพ และลดความเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะสมองขาดเลือด ได้แก่

การรักษาความดันให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
การรักษาระดับของน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติมากที่สุด สำหรับผู้เป็นเบาหวาน
เลิกสูบบุหรี่
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และลดภาวะเครียด
ควบคุมระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ควบคุมน้ำหนัก และการบริโภคอาหารให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
ผู้ป่วยที่หลอดเลือดคอตีบ และเคยมีอาการของเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ การผ่าตัดเป็นการป้องกันการเกิดอัมพาตซ้ำได้

ก่อนจะแก้โรคกรรม แก้โรคขาดแคลเซียมกันก่อนนะครับ

เราอยู่บนโลกใบนี้นอกเหนือจากจะศึกษาเรื่องราวต่างๆมากมาย เราควรจะศึกษาเรื่องเกี่ยวกับภายในตัวเรากันบ้างนะครับ เมื่อเร็วๆนี้ มีงานวิจัยที่พบว่าแคลเซียมสามารถช่วยต่อต้านได้อย่างดีต่อโรคความดันโลหิตสูง อาการหัวใจกำเริบ อาการปวดก่อนมีประจำเดือนและมะเร็งลำไส้ แต่คนส่วนน้อยมักละเลยกันว่าการได้รับแคลเซียมต่อวันควรจะได้รับแคลเซียมเท่าไร หรือต้องรอให้อายุมากก่อนถึงจะค่อยรอเสริมแคลเซียมกัน

หญิงมีครรภ์

สำหรับหญิงมีครรภ์แล้ว แคลเซียม นับได้ว่าเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อสภาวะการตั้งครรภ์อย่างมาก ควรได้รับ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน จำเป็นต้องได้รับมากกว่าคนธรรมดาเป็นพิเศษ เนื่องจากจะต้องถ่ายทอดแร่ธาตุดังกล่าวสู่ลูก เพื่อการพัฒนาโครงสร้างร่างกายของทารกในครรภ์ ดังนั้นหญิงมีครรภ์จึงมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะขาดแคลเซียม นอกจากจะช่วยให้พัฒนาการเติบโตของทารกในครรภ์เป็นปกติแล้ว ยังมีส่วนช่วยรักษาเสถียรสภาพความหนาแน่นกระดูกในแม่ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกี่ยวกระดูกหรือโรค กระดูกพรุน ภายหลังคลอดได้อีกด้วย

วัยเด็ก

เด็กๆ ต้องการ แคลเซียม มากกว่าวัยผู้ใหญ่และวัยสูงอายุ เด็ก (1-10 ปี) ควรได้รับ 800 - 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อนำมาเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่กระดูกและฟัน และส่วนอื่นๆ เพื่อใช้เป็นโครงสร้างของร่างกาย โดยการสะสม แคลเซียม ในเด็กที่หัดพูดจะช้าแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในวัยหนุ่มสาว ซึ่งจากการศึกษาพบว่าถ้าปริมาณ แคลเซียม ในร่างกายเด็กต่ำ จะทำให้ขบวนการสะสมเกลือแร่ในกระดูกและความหนาแน่นของกระดูกต่ำ เป็นผลให้เกิดโรคกระดูกอ่อนหรือโรคกระดูกค่อมงอได้ สิ่งที่สำคัญของช่วงอายุนี้คือ การพัฒนารูปแบบการบริโภคให้สอดคล้องกับระดับ แคลเซียม ที่ร่างกายต้องการให้เพียงพอต่อหนึ่งวัน เพื่อพัฒนาความหนาแน่นของกระดูก ให้การเติบโตของเด็กเป็นปกติ อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกในช่วงต่อไปของชีวิตได้ จะได้ไม่ทรมานตอนแก่ครับผม

วัยหนุ่มสาว

จากการศึกษาวิจัยแสดงว่า ช่วยอายุ 11-24 ปี เป็นช่วงที่ร่างกายดำเนินขบวนการก่อรูปกระดูก โดยถ้าร่างกายได้รับ แคลเซียม ในปริมาณที่ต่ำกว่าร่างกายต้องการ จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลังซึ่งถ้าขาดอย่างร้ายแรงจะก่อให้เกิดโรคกระดูกอ่อน มีอาการเจ็บกระดูก เจ็บกล้ามเนื้อ และเมื่อประสบกับการกระดูกหัก กระดูกจะสมานให้เหมือนเดิมได้ช้า ควรได้รับ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน สิ่งสำคัญคือ การรักษาระดับการบริโภคอาหารให้สอดคล้องกับระดับ แคลเซียม ที่ต้องการเพื่อป้องกันโรคเกี่ยวกับกระดูก ถ้าจะต้องมีการสูญเสียไปในภายหลังของช่วงชีวิต โดยถ้าเราได้รับ แคลเซียม ตั้งแต่อยู่ในวัยหนุ่มสาวหรือกลางคนอย่างสม่ำเสมอและพอเพียง อายุการสึกหรือผุกร่อนตามธรรมชาติก็จะยืดออกไปได้อีกนานกว่าคนที่รับแคลเซียมไม่เพียงพอ และเมื่อประกอบกับการออกกำลังกายที่ถูกวิธียิ่งทำให้ร่างกายเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ สูงชะรูดตูดไม่ปลอด

วัยกลางคนถึงวัยสูงอายุ

คนเราปกติจะมีโอกาสสูญเสีย แคลเซียม จากกระดูกเมื่อเรามีอายุมากขึ้น เพราะว่าเมื่ออายุเกินกว่า 30 ปีแล้ว ร่างกายจะไม่สะสม แคลเซียม อีกต่อไป โอกาสเผชิญกับโรคเกี่ยวกับกระดูกจะสูงถ้าร่างกายไม่ได้รับ แคลเซียมอย่างเพียงพอ ซึ่งควรได้รับ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงวัยหมดประจำเดือนซึ่งการศึกษาพบว่าร่างกายจะสูญเสียกระดูกในช่วงประมาณ 5-6 ปีแรกหลังจากหมดประจำเดือน เนื่องจากการลดลงของฮอร์โมน oestrogens และประสิทธิภาพในการสร้าง Vitamin D ก็ลดลงตามวัยที่เพิ่มมากขึ้น จึงมีแนวโน้มจะเป็นโรค กระดูกพรุนสูง ดังนั้นคนในวัยสูงอายุที่มีการเสริม แคลเซียม ให้กับกระดูกอย่างเพียงพอ จะช่วยยับยั้งการสูญเสียกระดูกในช่วงนี้ได้ การเผชิญกับการผุกร่อนของกระดูกจะน้อยลง ความเสี่ยงที่ต้องเผชิญกับโรคที่เกี่ยวกับกระดูกเมื่อย่างเข้าสู่วัยทองก็น้อยลงหรืออาจไม่เกิดขึ้นเลยก็ว่าได้ การเสริมแคลเซียม ต้องได้รับ วิตามิน ดี เพื่อจะได้ช่วยดูดซึมให้ดีขึ้น แต่ไม่ต้องถึงขนาดไปยืนตากแดดนะครับ เพราะวิตามินดี มีในแสงแดด

สุขภาพดี ชีวิตดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
1.ชีวิตสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน จิตใจก็แจ่มใส
2.ไม่ว่าหาเงินได้มากมายขนาดไหน ถ้าชีวิตมีโรครุมเร้า เงินเท่าไรก็ไม่พอใช้
3.การไม่มีโรคด้วย แถมมีงานดีๆทำด้วย คนที่เรารัก และคนที่รักเราก็มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข
สมัครสมาชิกอมตะ ได้ซื้อสินค้าราคาลดพิเศษและได้ของแท้จากบริษัทโดยตรง ได้ธุรกิจแฟรนไชส์ เน็ตเวิร์ค อีคอมเมิร์ช ลงทุนหลักร้อย มีโอกาสสร้างรายได้หลักล้าน อยู่บ้าน อยู่ที่ทำงาน ก็ขยายธุรกิจได้ เพราะขยายด้วยเว็บไซต์ที่ทำงานแทนเรา 24 ชั่วโมง ติดต่อสมัครสมาชิกอมตะ ตามเบอร์โทร 080-441-3343 หรือ สมัคร Online คลิกรูปด้านล่างค่ะ